วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Bob Allen นักการเมืองผู้อื้อฉาวเรื่องเพศ แต่น่่ารักและชวนหลงไหล





บ๊อบ อัลเลน (Bob Allen) เกิดเมื่อ 30 กันยาน 1958 อดีตนักการเมืองชาวอเมริกัน ผู้เป็นสมาชิก พรรค republican ของสมาชิกสภารัฐฟลอริดาร์ตั้งแต่ปี 2000 เขามาปรากฎในข่าวหน้าหนึ่งเมื่อ ปี 2007 หลังจากถูกจับกุมเกี่ยวกับเรื่องเกี่ยวกับเรื่องรักร่วมเพศ โดยตำรวจนอกเครื่องแบบ

สำหรับผม ไม่สนหรอกครับ หน้าตาเขาน่ารักน่ากอด น่าลูบไล้ขนาดนี้ ผมว่าเขาคือหนึ่งในบรรดานักการเมืองอ้วนที่เซ็กซี่ไม่น้อย ส่วนเขาจะทำอะไรไปนั้น แหม ก็ขนาดพระสงฆ์องคเจ้า ที่ถือศีล 277 ข้อ ยังทำเรื่องอื้อฉาวทางเพศขึ้นหน้าหนึ่งออกบ่อย แล้วในกรณีของเขาก็ไม่ใช่การข่มขืน แต่อย่างว่า นักการเมืองต้องมีภาพลักษณ์ที่ดี ไอ้นี่แหล่ะตัวค้ำคอตัวดีเลย

ตอนนี้ไมรู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดียังไง แต่ก็ขอให้แคล้วคลาดจากพยันอันตรายทั้งปวงนะครับ Bob Allen สู้ๆ

------------------------------------------------------
เจอข่าวปัจจุบันของเขาแล้ว ถูกภาคทัณฑ์ 6 เดือน ปรับเป็นเงิน 250 เหรียญสหรัฐฯ เมื่อ 9 พฤศจิกายน 2007 และในวันที่ 16 เขาก็ลาออกจากการเป็นนักการเมืองของพรรค republican

ภรรยาเขาชื่อ Beth Elaine Allen เขาจบการศึกษาจาก Valencia Community College ในสาขาศิลปะ

ข้อมูลจาก http://www.answers.com/topic/bob-allen

คนอะไรก็ไม่รู้ น่ารักชะมัดยาดเลยให้ตายสิ

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บิวท์อารมณ์ด้วยสิ่งของหรือเสื้อผ้า, การช่วยตัวเอง เรื่องธรรมชาติหรือเปล่า?

ถ้าตอบว่า ใช่ ก็ดูจะเห็นแก่ตัวมากๆ แต่คนบางส่วนที่ก้มีจำนวนพอควร เขาก็ทำกัน แต่ถ้ามากไปหรือกลายเป็นทำให้ผู้อืนเดือดร้อนจนเกิดคดีความ นั่นแหล่ะถึงเรียกว่า อันตรายอย่างมาก

เคยได้ยินมาว่า มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ที่ฝ่ายภรรยาพบว่า ชุดใหม่ที่เธอซื้อมานั้น ทำไมมันชอบมีรอยปริเสมอ มารู้ความจริงว่า พ่อสามี เอาไปใส่เพื่อบิวท์อารมณ์เซ็กส์ สามีเลยขอว่า เวลามีเซ็กส์ขอแต่งตัวเป็นผู้หญิงนะ เพราะมันรุ้สึกบิวท์อารมณ์ได้มากกว่า ฝ่ายภรรยาก็ไม่ได้ว่าอะไรและตกลง และเรื่องบนเตียงของทั้งคู่ ก็ราบรื่นกว่าเดิมมาก

ชายแท้บางคนก็ชอบให้คนรักของตัวเองใส่ชุดนักศึกษาเวลามีอะไรกัน (ที่ไม่พิมพ์คำว่า เซ็กส์ นี่ ไม่ใช่เพราะกลัวไม่สุภาพครับ แต่ขี้เกียวกด shift ตอนพิพม์เท่านั้น) ผู้ชายหลายคนชอบให่้ฝ่ายหญิงใส่เครื่องแบบบางอย่างหรือแต่ง คอสเพลย์ เวลามีอะไรกันเพื่อบิวท์อารมณ์
บางคนก็ชอบ ดมกกน. ยกทรง โสร่ง หรือใส่เพื่อบิวท์อารมณ์ ซึ่งบางทีอาจจะดู ถ้าเป้นความรุ้สึกผู้หญิงส่วนใหญ่ คงจะ "ว๊าย โรคจิต" แต่ถ้าบรรดาสิ่งเหล่านั้น เป็นสิ่งที่เขาได้มาเองจากอีกฝ่ายที่เต็มใจ และไปทำในที่รโหฐาน(ที่ส่วนตัว) ก็ถือว่า้เป็นสิทธิของเขา แต่ถ้าคนคนนั้น ไปหาทางออกด้วยการแอบถ่ายใต้กระโปรง ขโมยกกน.ตามหอพัก นั่นแหล่ะ จับกุมดำเนินคดีได้เลย
ผมเองก็ทำนะ แต่ไม่ใช่กกน. หรอก (เพราะซักอยู่ทุกวัน รุ้สึกเซ็งแล้ว) แต่ถ้าแบบนี้เข้าขั้นต้องไปพบจิตแพทย์ งั้นจิตแพทย์คงคิวยาวและได้ค่ารักษาจนรวยกว่าทนายแน่ๆ เพราะคงต้องมีคนไปเป็นร้อยคนเลยหล่ะ (อาาจะถึงหลักพันเลย)
พุดภึงเรื่องนี้ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่อง มีเซ็กส์กับสัตว์หรือชอบดูสื่อลามกแนวคนกับสัตว์ ถ้าเอาผิดทางกฎหมาย เข้าค่ายทรมานสัตว์ได้ครับ ถ้าในที่สาธารระก็ได้อนาจารเพิ่ม แต่รุ้สึกว่าเรื่องนี้มีมานานมากแล้ว ในหลายๆมุมทั่วโลก แมแต่ในสิลปะบางอย่างก็มีแสดงให้เห็น และผมว่า ถ้านั่นเป็นสัตว์ของเจ้าตัวเองทำภารกิจในมที่ส่วนตัว ไม่ได้ไปทำในที่สาธารณะที่ออกแนวโจ่งแจ้ง และไม่ทุบตีสัตวืเพื่อบังคับมัน ผมว่านั่นก็สิทธิของเขา ในเขตบ้านเขาที่มิดชิด แต่ถ้ามันเป็นสัตว์ของเรา นั่นหล่ะว่าไปอย่าง (หรือจะเก็บเงินค่าใช้บริการดี คริ คริ) ส่วนแนวนี้ ชอบดูเท่านั้น ให้ทำคงไม่กล้า แต่ชอบน้อยกว่าแนว ชายอ้วน/ชายแก่ เพราะยังไงแนวนี้ ยังเป็นที่หนึ่งอยู่เสมอ วีดีโอหนังแนวชายสูงวัย ก็ทำขายกันอย่างเป้นล่ำเป็นสันที่ญี่ปุ่น

และถ้าพูดเรื่องนี้ ก็ต้องนึกถึงการช่วยตัวเอง ไม่ว่าจะทั้งหญิงทั้งชาย ผมว่านี่ไม่น่าจะเรียกว่าดรคจิตนะ แพทย์และผู้เชี่ยวชาญเรื่องเพศศึกษาหลายคน แนะนำว่าการช่วยตัวเองคือการปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศที่ดีที่สุด ครั้งหนึ่งยังเคยมีการออก คู่มือวัยใส ที่เป็นเสมือน guide line เรื่องเพศที่ถูกต้องในขั้น basic รวมถึงวิธีการช่วยตัวเองทั้งของฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย (ซึ่งกลายเป็นประเด็นร้อนอย่างมากในเวลานั้น) แต่ถ้าชอบพูดเรื่องนี้บ่อยๆต่อหน้าเพื่อนใกล้ตัว มันก็เข้าค่าย หมกมุ่น แล้วหล่ะ

จำได้ว่าเคยมีการวิจัยออกมาว่า การที่ผู้ชายช่วยตัวเองวันละครั้ง ช่วยทำให้ห่างไกลการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยนะครับ เคยขึ้นบนข่าวหน้าหนุ่งของ เดลินิวส์ กับเคยออกรายการ วาไรตี้ขี้สงสัย ทางช่อง 9 ด้วยครับ (รายการเมื่อนานมากแล้ว) อย่างน้อย มะเร็งต่อมลูกหมาก ก้ห่างไกลตัวผมมากแล้วหล่ะ (oops)

แต่ก็ระวัง อย่าไปช่วยตัวเองด้วยวิธีพิเรณ ซึ่งในต่างประเทศมีหลายครั้งแล้วที่ทำให้ลงเอยด้วย ความตาย บาดเจ็บสาหัส อย่างเคยมีผุ้ชายคิดลองพิเรนทร์ ช่วยตัวเองกับ พาย แบบใน american pie ปรากฎว่า น้องชายตัวเองโดนลวกจนพองต้องเข้าโรงพยาบาลเลยหล่ะ

ตราบใดที่การทำสิ่งเหล่านั้น ไม่เดือดร้อนใคร ทำในที่ส่วนตัว ไม่บ่อยจนเป็นการหมกหมุ่น (ประเภททำไม่เลือกที่) ก้ตามสบายครับ

หนังโป๊ ศาสตร์แห่งเรื่องลามก ที่ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ท่ามกลางความตึงเครียดของทุกสิ่งรอบตัว

วันนี้เกิดมีเรื่องที่ผมเป็นคนเริ่มเองทุกประการ แล้วมีการโดนขุดเอาเรื่องนอกจอ อย่างรสนิยมทางเพศของผม กับ ที่ผมมีเอี่ยวเรื่องสื่อลามก หรือ หนังโป๊ ในภาษาชาวบ้าน มีการโจมตีและตกใจกันมากมายราวกับมีการปฏิวัติรัฐประหารอย่างงั้นแหล่ะ ผมคงไม่ไปแย้งอะไรในนั้นหรอก เพราะมีแต่จะเสียกับเสียสถานเดียว อยุ่บ้านตัวเองที่มั่นคงนี่แหล่ะ ปลอดภัยสุดๆแล้ว

ก็เลยมานึกถึง สื่อลามก ที่ผมเองก็ใช้เป้นอุปกรณ์สร้างความบันเทิงแก่ชีวิต พอๆกับการเล่นเลโก้ ดูรายการทีวีของ True Visions และอื่นๆที่ผมอยากทำ แน่อนว่า เรื่องนี้คือเรื่องที่ถูกมองในแง่ลบ ถ้าพูดในลักษณะสังคมวงกว้าง เพราะนี่ไม่ใช่วัฒนธรรมของเมืองพุทธอย่างประเทศไทย ไม่เหมือนใน USA ที่ดาราหนังโป๊ ก้โด่งดังและมีศักดฺศรีเทียบเท่าดาราหนังโรง มีร้านขายแบบถูกกฎหมายที่มีการควบคุม มีการจัดเป้นมหกรรมแบบมหกรรมหนังสือด้วย
ผมได้ดู หนังโป๊ ครั้งแรกอตนอายุ 13 ปี ส่วนพวก หนังชายอ้วน/ชายแก่ เริ่มดูตอนอายุ 18 ปี อันเป้นเวลาเดียวกับที่ผมเริ่มรู้แน่ว่า ผมชอบผู้ชายอ้วนหุ่นอาเสี่ย มากกว่าผู้หญิงหน้าอกโตหุ่นสะโพกดินระเบิดแบบในนิตยสารFHM

แน่อนครับ หลายครั้งที่เวลามีเหตุข่มขืนในหมู่เยาวชน ก้มักจะโยนตัวการไปที่ สื่อลามก ซะส่วนมาก ซึ่งมันก็มีส่วนนะแต่ผมว่า ส่วนสำคัญมากกว่าคือ ตัวบุคคลที่บริโภคสื่อนั่นแหล่ะ
คนที่ก่อคดีพวกนั้น ส่วนใหญ่ดูสื่อลามกน้อยกว่าผมเยอะ และแน่นอน น้อยกว่าพวกคนที่ทำงานเกี่ยวกับสื่อลามกโดยตรงอีก ผมไม่เคยเห็นเลยว่ามีข่าวว่า "นักเขียนของ ไทยเพลบอย ก่อคดีข่มขืน" หรือ "คนในกองถ่ายหนังโป๊ของค่าย private ฉุดผู้หญิงไปรุมโดทรม" หรือ "ช่างภาพ penthouse ก่อคดีลวงเด็กนักเรียนไปข่มขืน" ทั้งที่คนพวกนี้เห็นและใกล้กับสิ่งเหล่านี้มากกว่าพวกเราที่เป้นแค่ผู้บริโภคซะอีก

แล้วเชื่อเถอะ เกือบทุกคนที่เล่นอินเตอร์เน็ตเป็นมาไม่น้อยกว่า 1 เดือน เคยดูเว็บโป๊มาแล้วทั้งนั้น ผู้ใหญ่หรือคนที่ทำอาชีพอื่น ทั้ง ครู หมอ ตำรวจ ทหาร พยาบาล พนักงานบริษัท นักศึกษา คนในวงอาชีพนี้และอาชีพอื่นจำนวนไม่น้อยก็เคยดูหนังโป๊กันทั้งนั้น (ขนาดพระนอกแถวบางรูปยังทำเลยครับ)
แล้วสื่อลามกส่วนใหญ่ที่เข้ามาในไทย ก้มาในแบบ ละเมิดลิขสิทธิ์ กันอยู่แล้ว เด๊ยวนี้โหลดฟรีกันให้ทั่ว ไม่ต้องเสียเงินซื้อ
สำหรับผม เซ็กส์ เปรียบเสมือน กีฬาฟุตบอล ที่ผม ชอบดู มากกว่า ชอบทำ และ การดูฟุตบอลทางทีวี ผมว่าสนุกและได้เห็นอะไรในบางมุมมากกว่า การดูฟุตบอลในสนาม เสียอีก ผมแค่ดู ก็พอใจแล้ว
หนังโป๊หลายเรื่อง ทำออกมาได้ดูเป็น ศิลปะ มากๆ มากกว่ที่จะเป็น อนาจาร แบบพวกแอบถ่าย
ว่าแล้ว ก็ไปดูหนังโสกเรื่องดีกว่า ว้า มีแต่ของเก่าๆน่าเบื่อทั้งนั้น

กระทู้สำรองรุปภาพ คนอ้วน คนแก่









วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ข้อความที่เป็นการดูถูกคนอ้วนและจำกัดสิทธิ์คนอ้วนขั้นรุนแรงจากBlogแห่งหนึ่ง


ได้มาจาก http://mklasing.wordpress.com/2008/08/14/obamas-energy-plan-revealed/

นี่ คือเนื้อความส่วนหนึ่งในนั้น ที่พูดถึงเรื่อง กฎหมายการประหยัดน้ำมันที่เจ้าของบล็อคอยากให้ obama นำมาใช้...แต่อ่านแล้วรู้สึก จี๊ดขึ้นสมองเลยครับ ถึงผมอาจจะแค่รูปร่างอวบ มีน้ำหนักเกินมาตรฐานมา 10 กก. ไม่ถึงกับอ้วนแบบหลายๆคนในที่นี้ก็ตาม

Here is one for you Obama–kind of on the fat tire theme. You should pass a law disallowing anyone that is overweight to drive a car–at all. First that would knock out maybe 60% of all drivers and then the use of gas would decrease dramatically. Plus the only people on the road take less gas to move–because they are thin–like you.

แปลเป้นไทยได้คร่าวๆดังนี้ เริ่มจากประโยค You should pass a law disallowing anyone that is overweight to drive a car–at all.

คุณควรอนุมัติกฎหมายไม่อนุญาติให้คนน้ำหนักเกินขับรถยนต์-ทั้งหมด

ประโยค ต่อจากนั้น น่าจะเกี่ยวกับเรื่อง การสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น (ไม่กล้าแปลเป็นภาเขียนเพราะเดี๋ยวจะผิดความหมาย) แต่ประดยคต่อมานี่สิครับ เน้นขยายความจะๆเลยว่าเป้นการกีดกันคนที่รูปร่าง

Plus the only people on the road take less gas to move–because they are thin–like you.

แปลว่า ให้คนที่ใช้น้ำมันน้อยเท่านั้นที่อยู่บนท้องถนน-เพราะพวกเขาผอม-อย่างเช่นคุณ

แปล ว่าเกิดมาเป็นคนอ้วนนี่มันผิดเหรอ เกิดมาเป็นคนอ้วนแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะขับรถยนต์หรืออย่างไร จะโยนให้คนอ้วนเป็นตัวการหลักในการผลาญเชื้อเพลิงของประเทศไปเลยเหรอ แล้วพวกคนผอมๆที่มันชอบขับขี่รถแบบปาดซ้ายป่ายขวา เร่งเครื่องโดยไม่มีเหตุผล จอดรถแล้วติดเครื่องรอเกิน 5 นาทีกับสารพัดการใช้น้ำมันอย่างล้างผลาญนี่หล่ะ แบบนี่สมควรให้อยู่บนท้องถนนเหรอครับ แย่พอๆกับคนเขียนบทความ

ถ้ามี การออกกฎหมายลักษณะนี้จริงๆขึ้นมา ไม่ว่าจะในอเมริกาหรือประเทศไหนก็ตาม มันคือเผด็จการชัดๆ และถ้ามันมีจริงๆ หวังว่าคนอ้วนทุกคนในประเทศนั้นจะออกมาประท้วงให้ถึงที่สุด หรือถึงขั้นก่อจลาจลกันไปข้างหนึ่งเลย ชนิดที่ว่า จลาจลrodney king ใน LA ปี 1992 ชิดซ้ายไปเลย

งั้นถ้าปัญหาคลิปโป๊บนมือถือมันระบาดหนักนัก ก็แก้ปัญหาด้วยการ ห้ามขายห้ามผลิตมือถือ3G กันเลยดีมั๊ยครับ

ประเทศไทยในอันดับโลก (จาก TBC)

อาหารไทยเป็นอาหารยอดนิยม ติด 1 ใน 5 ของโลก ร่วมกับ อาหารฝรั่งเศส อิตาเลียน ญี่ปุ่น จีน
ทั่วโลกมีร้านอาหารไทย 6000 แห่ง อยู่ในสหรัฐ 3000 แห่ง มีลูกค้าเข้ามารับประทานเฉลี่ยนวันละ 3 ล้านคน (2545)

คนไทยมีสถิติดื่มสุราสูงสุดเป็นอันดับ 5 ของโลก (2546)

ไทยเป็นผู้ส่งออกใหญ่ที่สุดอันดับที่ 4 ของโลกในการส่งออกรถยนต์ไปยังสิงคโปร์(2546)

ไทยติดอันดับละเมิดลิขสิทธิ์ 1 ใน 10 ของโลก มูลค่าตลาดสูงกว่า 1,600 ล้านบาท เป็นอันดับ 3 ในเอเชียรองจากจีนและไต้หวัน(2546)

ไทยเป็นชาติที่ร่ำรวยที่สุด อันดับ 32 ของโลก จากการจัดอันดับของธนานคารโลก
ส่วนอันดับ 1-10 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี จีน สเปน แคนาดา และอินเดีย (2547)

ไทยติดอันดับประเทศน่าลงทุนติดอันดับที่ 20 ของโลก จากทั้งหมด 155 อันดับ ถือเป็นประเทศที่มีผลงานที่ดีที่สุดประเทศหนึ่ง แซงหน้ามาเลเซียและเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 21 และไต้หวันที่อันดับ 35(2548)

ไทยติดอันดับอันดับ 5 ของโลก ในการแพร่เว็บลามก (2549)

กรุงเทพมหานครได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวอยากเดินทางมามาก ที่สุดในทวีปเอเชีย และเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจาก ฟลอเรนซ์ และโรม ในขณะที่เชียงใหม่ อยู่อันดับที่ 5 (2549)

สนามบินของไทยมีผู้ใช้บริการมากที่สุด อันดับ 11 ของโลก (ยังไม่นับตอนสุวรรณภูมิเปิด) (2549)

ไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความสุขที่ 44 ของโลก
ในเอเชียนั้น ฟิลิปปินส์อันดับที่ 23 อินโดนีเซียอันดับที่ 31 จีนอันดับที่ 32 ไทยอันดับที่ 44 มาเลเซียอันดับที่ 66 อินเดียอันดับที่ 64 ฮ่องกงอันดับที่ 89 (2549)

วัยรุ่นไทยติดอันดับ 1 ของโลก ในการเล่นเว็บแคมฟร็อก โดยห้องแชตสุดฮิต อันดับ 1-60 เป็นห้องของคนไทย 55 ห้อง (2550)

ปตท. เป็นบริษัทไทยแห่งเดียวที่ติดอันดับในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ 500 อันดับแรกของโลก จากผลการสำรวจประจำปี 2007 เป็นอันดับที่ 41 ในเอเชีย และเฉพาะในภาคธุรกิจการกลั่นปิโตรเลียม ปตท.อยู่ในอันดับที่ 22 ของโลก (2550)

ผู้บริหารระดับสูงของไทย ติดอันดับมีรายได้เฉลี่ยสูงสุดอันที่ 8 ของโลก
ในรายชื่ออันดับอำนาจการซื้อผู้บริหาร
อันดับ1.ซาอุดิอาระเบีย
อันดับ2.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
อันดับ3.ฮ่องกง
อันดับ4.รัสเซีย
อันดับ5.ตุรกี
อันดับ6.เม็กซิโก
อันดับ7.ยูเครน
อันดับ8.ไทย
อันดับ9.สิงคโปร์
(2550)

ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับที่ 19 ของโลก มีจำนวนประมาณ 63 ล้านคน

ในการแข่งขัน ชีววิทยาโอลิมปิก 2550 เด็กไทยคว้ารางวัล คะแนนสูงสุด อันดับ 1 ของโลก(2550)

ประเทศไทยเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญของโลก สามารถผลิตข้าวได้ประมาณ 27 ล้านตัน จัดเป็นอันดับ 6 ของโลก มีการส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของโลก มูลค่า 1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นข้าวสารร้อยละ 97 และผลิตภัณฑ์จากข้าวร้อยละ 7 แต่ถึงแม้ประเทศไทยจะส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ไม่มีอำนาจในการกำหนดราคาข้าวในตลาดโลกเลย (2550)

ไทยติดอันดับประเทศที่ใช้จักรยานยนต์มากเป็นอันดับ 3 ของโลก เฉลี่ย 3 คน ต่อ 1 คัน(2550)

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เป็นมหาวิทยาลัยที่สวยที่สุด อันดับ 2 ของโลก(2550)

ไทยจับปลาได้เป็นอันดับ 9 ของโลก

รายชื่อมหาวิทยาลัยไทยที่ติดอันดับ 1 ใน 3000 ของโลก
อันดับที่
505 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
577 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
721 สถาบันเทคโนโลยีเอเซีย (เอไอที)
861 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
894 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
896 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
909 มหาวิทยาลัยมหิดล
1009 มหาวิทยาลัยขอนแก่น
1195 มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
1419 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า
1460 สถาบันทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารฯ
1735 หมาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
1801 มหาวิทยาลัยรามคำแหง
1811 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ
2068 มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
2109 มหาวทยาลัยกรุงเทพ
2125 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
2180 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
2181 มหาวิทยาลัยบูรพา
2196 มหาวิยาลัยศิลปากร
2204 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2374 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
2602 มหาวิทยาลัยวิไลลักษณ์
2635 มหาวิทยาลัยรังสิต
2922 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร

ประเทศไทยมี HACKER สุดยอดอันดับ 3 ของโลกด้วยนะ (แต่ว่าถูกจับไปแล้ว )
ไทยมีพิพิทธภัณฑ์มากเป็นอันดับ 2 ของโลก
ทางยกระดับ บางนา-ตราด เป็นทางด่วนยกระดับที่ยาวที่สุดในโลก
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็นส่วนตัว

"ไทยติดอันดับละเมิดลิขสิทธิ์ 1 ใน 10 ของโลก มูลค่าตลาดสูงกว่า 1,600 ล้านบาท เป็นอันดับ 3 ในเอเชียรองจากจีนและไต้หวัน(2546)"

ก็เพราะอีแบบนี้นี่แหล่ะ Electronic Art ประเทสไทย ถึงได้ปิดตัวไปไงหล่ะครับ แล้วทำใ GMM Grammy และ RS รวมถึงผู้สร้างหนังหลายราย เขาท้อแท้กัน

เราชอบว่าพวกฝรั่งว่าอย่างงั้นอย่างงี้ ทีเขาว่าเรา เรากลับไม่พอใจทั้งที่เป็นเรื่องจริง อย่างเช่นเรื่องนี้ ไทย ก็เป็น จอมละเมิดลิขสิทธิ์ โดยเฉพาะสินค้าประเภทสื่ออิเล็คโทรนิค gamer และผู้บริโภค หลายคนก็ยังซื้อของละเมิดลิขสิทธิ์กับโหลดบิทต่อไปแบบไม่รู้สึกผิดหรือสำนึกใดๆเลย

สมควรแล้วหล่ะ ที่ประเทศแถบยุโรปและอมริกา จะใส่รายชื่อไทยเข้าในสารพัด black list ทีประเทศมหาอำนาจประเทศอื่นทำนู่นนี่ก็อัดแหลก บางทีไม่ได้ทำอะไรก็ยังว่าเขาได้ แต่พอเขาติงเขาว่าอะไรประเทศไทยซึ่งเป็นเรื่องจริง กลับโวยวายไม่พอใจซะงั้นแหล่ะ


แน่นอนครับว่า พอผมนำความเห็นนี้ ด้วยคำพูดนี้ ไปแสดงที่ thaibrickclub เท่านั้นหล่ะ โดนด่าเลย (แต่ไม่หนักเท่าที่ thaismartguy หรือแบบพวก pantip ซึ่งที่นั่นนั้น ไร้มารยาทมากๆ) ยอมรับครับว่า มันไม่ใช่ภาาาดอกไม้ที่น่ารื่นหู แต่มันจริงมัียหล่ัะครับ ข่าวก็เคยนำเสนอ แล้วในนั้นน่ะ ก็ยังมีคนมาแถอีกว่า "ประเทศไทยขายเลโก้แพงเป้นอันดับหนึ่งของโลก" แล้วผมก็ไปต่ออีกว่า "ดูเหมือน Lego City ชุดที่ออกในเดือน 8 จะลบคำสบประมาทนี้ได้แล้ว" ดดนอีกตามเคย คนที่นั่นเขายังไมาลดอคติต่อเรื่องนี้กันครับ ยิ่งในกระทู้เรื่อง วิเคราะห์มูลค่าเลโ้ในไทย ที่กลายเป็นกระทู้ด่าตัวแทนจำหน่าย ถ้อยคำที่ใช้แม้จะไม่แรงเท่ากับพวกที่ชอบพล่ามด่าเรื่องการเมืองตามเว็บบอร์ดทั่วไป แต่ก็ไม่ใช่คำที่น่าจำน่าอ่านเลยแม้แต่น้อย และมีการใช้ถ้อยคำแบบ แอบหลอกด่า หรือใช้คำภาษาอังกฤษมาผสม เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องการใช้คำหยาบ (พวก ศรีธนนชัย ยุค iPhone) ดุเหมือนมันจะเสรีภาพกันสุดๆเลยนะครับเนี่ย

แต่เราก็ไม่อาจหลีกหนีความจริงที่เราเป็นอยู่ได้ รวมถึงเรื่อง"4ขี้"ที่ฝรั่งเคยพูดไว้ด้วย แค่อย่าทำอะไรให้มันขายหน้าประเทศชาติก็พอแล้วหล่ะ

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรื่องน่าอึดอัด เกี่ยวกับรายการทีวีทางช่อง free tv ของเมืองไทย



พูดถึงรายการทีวีหรือวงการบันเทิงของเมืองไทยนั้น มีเรื่องน่าคับแค้นใจให้ว่าบานเลยครับ อย่างหนึ่งก็เรื่อง รายการนำเสนอข่าวประเภทจับคนมานั่งวิเคราะห์ข่าวหลายรายการก็ไร้ความเป็นกลาง หาสาระได้น้อยนิดเมื่อเทียบกับเวลาออกอากาศตลอดรายการ กับมีแต่ชวนให้คนดุเสียเงินส่ง SMS ไปทะเลาะกันอีก ยิ่งรายการประเภท จับผู้หญิงมานั่งฝอยอะไรไม่รู้ได้เป็นคุ้งเป็นแคว อย่าง ผู้หยิงถึงผู้หญิง ก็พุดจนน่าหนวกหูแต่ไม่มีสาระ จนหนังสือพิมพ์ฉับหนึ่งเคยเอาเขียนติติงไปแล้ว แถมพิรายการนี้ดัง มีผุดกันมาบานเลย ทั้งรอบวันธรรมดาและวันหยุด

ยิ่ง นางสาว กาละมัง เอ๊ย กาละแม เคยเจอหลักฐานประเภท เห็นกับตา ได้ยินกับหู ว่าผู้หญิงคนนี้ ไม่รู้จริงเรื่องรายะลเอียดบางประการของข่าวที่ตัวเองอ่าน นี่คือเรื่องราวในครั้งนั้นเมื่อนานมาแล้ว สมัยที่ True Visions ยังไม่เข้ามาในชีวิตผม

ในรายการ ผุ้หญิงถึงผู้หญิง ครั้งหนึ่ง นางสาวกาละแมเอาข่าวแปลกๆเรื่องหนึ่งมาอ่าน เป็นเรื่องเกี่ยวกับ แม่ที่เปิดเว็บฯ Ebay ทิ้งไว้ แล้วลูกอายุไม่กี่ขวบมาเล่นมั่วซั่ว โดยไม่รู้ว่ากำลังประมูลรถ Nissan Figaro แล้วประมูลชนะโดยไม่รู้ตัว แม่ถึงตกใจแล้วเกือบลมใส่

แต่สิ่งที่เด็ดสุดไม่ใช่ตัวข่าว ที่เด็ดคือ กาละแม พอพิธีกรพูดมากของรายการ ไม่รู้จักรถรุ่นนี้ แล้วนึกว่าข่าวพิมพ์ผิด เป็น Nissan Cefiro หรือเปล่า

เหลือเชื่อครับ คนระดับพิธีกรรายการทีวีที่คนรู้จักแทบทั่วบ้านทั่วเมือง กลับไม่รู้จักศึกษาหาข้อมูลถึงรายละเอียดบางอย่างในข่าวที่อ่านออกอากาศ โอเคครับ มันเป้นรายการออกอากาศสดก็จริง แต่ตัวข่าวมันมีการเตรียมมาก่อนหน้านี้แน่ๆ ทำไมผู้หญิงคนนี้ ซึ่งแน่นอนว่าค่าตัวต่อเทปคงมากกว่าเงินเดือนพ่อผมทั้งเดือนแน่ๆ ทำไมไม่เสียเวลาสักนิดศึกษารายะลเอียดของข่าวก่อนนำมาอ่านให้ดีกว่านี้

แล้วเจ้ารถ Nissan Figaro นั่นน่ะ เข้าไปที่ google แล้วพิมพ์ชื่อรถรุ่นนี้ลงไปแล้วเลือกค้นหา ทั้งข้อมูลและรูปภาพของรถรุ่นนี้มีเพียบเลย และนี่คือ รายละเอียดเจ้ารถคันที่ว่าครับ (ภาพอยู่บนสุด)

ปีที่ผลิต : 1991 (จำกัดจำนวนไว้ที่ 20,000 คัน)
เครื่องยนต์ : 4 สูบเรียง 987 ซีซี SOHC (single overhead camshaft),+ Turbo (รหัสเครื่องยนต์ MA10-ET)
ระบบส่งกำลังและระบบขับเคลื่อน : เกียร์อัตโนมัติ 3 speed ขับเคลื่อนล้อหน้า
ความยาวฐานล้อ : 2,300 mm (90.6 in)
ความยาวตัวรถ : 3,740 mm (147.2 in)
ความกว้าง : 1,630 mm (64.2 in)
ความสูง : 1,365 mm (53.7 in)
น้ำหนักรถ : 810 kg (1,786 lb)
ความจุของถังน้ำมัน : 40 ลิตร (11 US gallon)
Fuel capacity 40 L

ไม่น่าเชื่อว่า เมื่อ 18 ปีที่แล้ว จะมี retro car หน้าตาน่ารักแบบนี้ด้วย

สำรองข้อมูลจากกระทู้ใน thaibrickclub บอร์ด สัพเพเหระ

ขอบคุณครับสำหรับความเห้นอันเฉียบคม ซึ่งผมกำลังรอคอยอยู่ ในนี้คงมีสมาชิกหลายคน (ซึ่งอาจจะไม่ใช่ขาประจำที่โพสบ่อย) มีลูกกันแล้วหรืออาจจะต้องเลี้ยงหลานวัยกำลังโต และแต่ละคนก้คงจะมีวิธีการที่เหมาะสมแตกต่างกันไป ตามองค์ประกอบและปัจจัยแวดล้อมต่างๆ

บ้านผมเองก็อยู่ในระดับชนชั้นกลางครับ เกือบค่อนไปทาง ปานกลางบวก ด้วย โดยมีผมเป็นลูกคนเดียว และก็ไม่ได้สปอยให้นู่นนี่ตามใจ ส่วนผมก็ไม่ได้คอยแต่ขอนู่นนี่ท่าเดียว (แม้จะอยากได้ก็ตาม) อะไรก็ตามที่ไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย มีสิทธิ์ที่จะซื้อหรือแสวงหาได้โดยที่พอ่แม่ผมไม่ห้ามอะไรเพราะพ่อแม่ผมไม่ใช่พวกผู้ใหญ่หัวโบราณอะไร อยากเล่นของเล่นอะไร อยากฟังเพลงแนวไหน อยากซื้ออะไร อยากเล่นวีดีโอเกมอะไร อยากนิยมชมชอบนักการเมืองคนไหน พ่อแม่ผมไม่ว่า แต่อาจจะเริ่มมีการติงเล็กน้อยถ้าผมเริ่มเหมือนกับว่า ใช้เงินมากไปหน่อย

ของแพงๆดีๆผมก็ได้มีใช้ตามเวลาอันสมควร โดยที่ไม่ต้องอ้อนพ่อแม่หรือทำประจบเอาใจ ผมได้คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ตมาใช้ตอนปี4 เพราะพ่อผมเห็นว่ามันจำเป้นแล้ว เพื่อที่ผมจะใช้ทำงานเรื่องเรียนได้สะดวกขึ้น และผมก้ต้องผ่อนส่งคืนในบางส่วนอีกด้วย เครื่อง PC ส่วนตัวที่ผมใช้อยู่ที่บ้านที่เรียกว่ามีไว้เพื่อเล่นเกมอย่างเดียวนั้น ผมก็ต้องออกเงินเองอีก 4,000 บาท (ซึ่งได้มาจากการเรียน ต้นกล้าอาชีพ) โทรสัพท์มือถือที่ผมใช้ตอนนี้ก็อายุ 2ปีแล้ว โดยพ่อผมเป้นคนซื้อให้ ซึ่งก็เป้นเพราะเครื่องเก่าเริ่มรวนแล้ว และตอนนั้น ก้มีงานลดราคาของ Nokia พอดี เสื้อผ้าที่ผมใส่อยุ่นี่ก็มีแต่พสกตัวละ 199 ,299 พวกเสื้อผ้าธรรมดาๆนี่แหล่ะครับ ไม่ใช่ของหรูแบรนด์ดังใดๆ ซึ่งผมไม่ถืออะไร เสื้อผ้าผมเอาแค่ ดูดี เนื้อผ้าใส่สบาย เท่านั้นเองครับ ไม่สนว่าจะเป้นเสื้อตัวละ 299 หรือเป็นของแบรนด์เนมราคาหลักพันบาท (เลยเหลือเงินไปซื้อ LEGO ไงครับ)

พูดถึงเสื้อผ้า ก็นึกถึงชุดนักเรียน ตอนผมเรียนอยุ่ผมไม่เคยร้องขอว่าทุกเปิดเทอมต้องซื้อชุดใหม่เลยครับ ตั้งแต่เรียนชั้นประถม ยันจบมหาวิทยาลัย ตราบใดที่มันยังใส่ได้ไม่คับ ผมก็ใส่ (นึกถึงโฆษณาผงซักฟอกยี่ห้อหนึ่ง ที่เสียดสีพวกเด็กที่ชอบอ้อนพ่อแม่ซื้อชุดนักเรียนใหม่แล้วล้อเลียนคนอื่นที่ยังใส่ชุดเก่า) ตอนอยุ่มหาวิทยาลัย ใส่ซะเก่าโทรมจนแม่ผมต้องบอกว่า ซื้อใหม่เถอะลูก (เสื้อที่ใส่นั่งเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่ตอนนี้ก็เป็นเสื้อตั้งแต่สมัยเรียน ผมชอบใส่เสื้อที่ใหญ่กว่าขนาดตัว เพราะมันจะได้ใส่ได้นานๆไม่ต้องเปลืองเงินซื้อใหม่) มีอะไรจะกล่าวสักหน่อย บรรดาผู้ปกครองที่จะเลือกซื้อชุดนักเรียนให้บุตรหลานเดี๋ยวนี้ อย่าเห็นแค่ว่า เอาถูกที่สุดเพื่อประหยัดเงินนะครับ เพราะหลายครั้งที่เสื้อพวกนี้ เนื้อผ้าคุณภาพไม่ได้ความครับ สวมใส่ก็ไม่สบายตัว ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มหรือผลซักฟอกอย่างแรงสักแค่ไหน ก็รีดบ่อยสักเพียงใด ไม่ทำให้นุ่มขึ้นเลยครับ (เคยเจอกับตัวเองมาแล้วครับเรื่องนี้) หลีกเลี่ยงของราคาถูกคุณภาพแย่พวกนี้ดดเด็ดขาดครับ

ส่วนเด็กคนไหนที่เป็นลูกหลานที่ดีของพ่อแม่ผู้ปกครองอยู่แล้ว ก็ขอชมเลยแล้วกันนะครับ (ตัดบทจบดื้อๆเลย)

โฆษณารณรงค์งดสูบบุหรี่ที่ดีที่สุดที่เคยดูมา

โฆษณาชุดนี้เป็นของต่างประเทศครับ เก่ามากแล้ว เป็นของ quit line

http://www.youtube.com/watch?v=0yf9ee6t67o

ผมว่าทาง สสส น่าจะศึกษาแนวทางจากโฆษณาชุดนี้นะครับ เขาทำออกมาได้ดูดีและชวนให้ใครก็ตามที่กำลังสูบบุหรี่อยุ่ โดยเฉพาะคุณพ่อที่มีครอบครัวแล้ว อยากหยุดสูบบุหรี่ทันที

หลังจากข้อความส่วนนี้เป็นต้นไป ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้อง comment ครับ

ไม่ใช่ทำแต่โฆษณาประเภท แช่งชักหักกระดูก ทำยังกับว่าใครที่สูบบุหรี่นี่ ดูเลวยังกับเขาเพิ่งไปขโมยรถยนต์หรืองัดเครื่องATMเพื่อขโมยเงินซะงั้น ไม่ว่าจะโฆษณาชุดใดก็ตามที่เกี่ยวกับเรื่องให้เลิกบุหรี่ที่ทำโดยฝีมือคนไทยในรอบ 2 ปีหลังมานี้ ทำได้ ห่วย มากๆครับ มีแต่ใช้ความรู้สึกในเชิงสาปแช่งมากกว่าความรู้สึกเชิงสงสารแบบโฆษณาที่ผมยกตัวอย่างมาผมไม่ใช่คนสูบบุหรี่ ไม่คิดที่จะสูบ และก็ต่อต้านการสูบบุหรี่ แต่ผมถือว่า ตราบใดที่คนคนั้น ไม่ได้เอาเงินเราไปซื้อบุหรี่ ไม่ได้สูบบุหรี่ในสถานที่ราชการ ไม่ได้สูบบุหรี่บนรถโดยสารหรือยานพาหนะที่เป้นส่วนรวม ไม่ได้สูบบุหรี่ในห้องที่มีการใช้เครื่องปรับอากาศ ไม่ได้สูบบุหรี่ในปั๊มน้ำมันหรือสถานที่ใดก็ตามที่มีสารไวไฟ ไม่ได้สูบในสถานที่แบบindoorใดๆก็ตามที่มีการห้ามสูบบุหรี่ ไม่ได้มานั่งสูบข้างๆเราโดยที่เราเป็นฝ่ายนั่งอยูก่อนนานแล้ว ไม่ได้มาสูบในบ้านเราหรือที่ที่เราอยู่ และถ้าที่ที่คนคนนั้นสูบบุหรี่ เป็นที่ที่จัดไว้ให้สูบบุหรี่โดยเฉพาะ เป็นบ้านส่วนตัวหรือรถยนต์ส่วนตัวของเขา ผมถือว่าเป็นสิทธิของเขาครับ โดยที่เราไม่มีสิทธิที่จะไปว่าหรือสาปแช่งเขา ไม่ว่าจะโดยวิธีใดๆก็ตาม

-------------------------------------------------------------------------------
โฆษณาประหยัดน้ำมันก็เหมือนกันครับ ที่ทำโดยฝีมือคนไทย ก้มีแต่ออกแนว ไม่สร้างสรรค์ ดีแต่เอาความสะใจกับเอากฎหมู่ เหนือความถูกต้องจำโฆษณาประหยัดน้ำมันที่ออกมาช่วงปี พ.ศ. 2548 ได้มั๊ยครับ ที่มี เจ้าแว่นอ้วนหัวล้าน เป็น presenter โดยจะขอยกตัวอย่างโฆษณา 2 ชุด ที่ไม่เข้าท่าอย่างมากชุดแรก เปิดตัวเป็นคนขับรถรับจ้างคนหนึ่งเติมน้ำมัยเสร็จ แล้วเปิดกระเป๋าตังค์ดู สงสัยว่าเงินหายไปไหน อยู่ๆก็มี เจ้าแว่นอ้วนหัวล้าน เข้ามาแล้วพูดว่า อยากรุ้มั๊ยครับว่าเงินหายไปไหน แล้วชี้ไปยังสี่แยกข้างหลังที่อยุ่ใกล้ๆกันเป้นภาพของรถกระบะยกสูงแบบรถ big foot คันหนึ่ง จอดติดไฟแดง แต่งท่อไอเสียรอบคับเหมือนโรงสีข้าว แถมคนขับยังเหยียบคันเร่งเพื่อเบิ้ลเครื่องอยู่กับที่แบบไม่เสียดายน้ำมัน (มีฉากจับหน้าคนขับที่เบิ้ลเครื่องอย่างสะใจ) เจ้าแว่นอ้วนหัวล้าน ก้มาสาถยายาเรื่องการสิ้นเปลืองน้ำมัน ในขณะคนขับรถรับจ้างเดินไปที่รถกระบะคันนั้น ปีนขึ้นไปเปิดประตู แล้วกระทืบคนชับรถกระบะดดยเอามือรั้งตัวไว้กับขอบประตูรถผมรู้ครับ การที่คนขับรถกระบะคนนั้น เร่งเครื่องอยุ่กับที่แบบไร้เหตุผล หรือการที่เขาแต่งรถแบบเกินความจำเป็น มันเป้นพฤติกรรมการใช้น้ำมันที่สิ้นเปลืองและล้างผลาญ แต่ไอ้การที่ไปกระทืบคนเนี่ย เป้นพฤติกรรมที่น่าเอาเป็นแบบอย่างหรือเป็นพฤติกรรมที่ดี อย่างนั้นหรือครับ
---------------------------------------------------------------------------
มาชุดที่สอง เป้นชุดที่มีหญิงแก่ไฮโซมาดคุณนายคนหนึ่ง จอดรถเบ็นซ์แล้วพูดว่าอยากประหยัดน้ำมันให้ได้มากกว่านี้ แล้วก็มี เจ้าอ้วนแว่นหัวล้าน เข้ามาพูดว่า ช่วยเปิดกระโปรงท้ายรถด้วยครับ พอเปิดมาก็มีของเต็มเลยครับ ทั้งเครื่องประดับ เสื้อผ้า ข้าวของอื่นๆอีกเพียบ อยุ่ๆ เจ้าอ้วนแว่นหัวล้าน ก็เป่านกหวีดยาว แล้วพวกชาวบ้านแถวนั้น ก้เข้ามากรูกันเอาของไปจนหมดท้ายรถ แล้วก็พูดถึงเรื่องบรรทุกน้อยช่วยให้ประหยัดน้ำมันโอเคครับ บรรทุกน้อยช่วยให้ประหยัดน้ำมัน (น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 1 กก. ทำให้กินน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 40 ซีซี ต่อ กิโลเมตร) แต่ไอ้พฤติกรรมที่ผมเห็นนั้น บ้านผมเขาเรียกว่า การราวทรัพย์แบบซึ่งๆหน้าครับ ผมเคยพูดเรื่องนี้ให้อาจารย์ที่ผมเรียนวิชา criminology ฟังเมื่อตอนเรียนอยุ่ปี3 ท่านก็ยังคิดเหมือนผมเลยครับ ถ้าไม่นับพวก พ่อค้ารถกระบะ เซลล์แมน ที่จำเป็นต้องบรรทุกของเต็มรถตลอดเวลานั้น หลายคนเขามีรูปแบบการดำรงชีวิตหรือรุปแบบของการทำมาหาเลี้ยงชีพสุจริต ที่ต้องบรรทุกข้าวของเต็มรถ ทั้งเสื้อผ้า และสารพัดสรรพสิ่ง บางคนต้องไปงานนู่นนี่บ่อยๆ เลยต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าในรถยนต์ หรือต้องพกพาข้าวของบางอย่างติดรถด้วยเสมอเพราะใช้บ่อยเมื่ออยู่นอกบ้าน ซึ่งการที่เขาเหล่านี้ถ้าจะเลือกวิธีเอาของทิ้งไว้ที่บ้าน นอกจากจะเสียเวลาแล้ว การขับรถกลับไปเอาอีกรอบ อาจจะเปลืองน้ำมันยิ่งกว่าด้วยครับ

-----------------------------------------------------------------------
คราวนี้มาโฆษณาตัวที่3 เป็นโฆษณาประหยัดน้ำมันเช่นกัน แต่คนละชุดกับ2ตัวแรก ครั้งนี้เรื่องไม่เข้าท่ามีนิดเดียว แต่มีการแฝงข้อความที่ชวนเข้าใจผิดได้เป็นเรื่องของอาเสี่ยที่ใช้น้ำมันอย่างฟุ่มเฟือยคนหนึ่ง ที่สั่งให้คนขับรถเร่งเครื่องให้สุดๆ คนชับเตือนก็ไม่ฟัง แล้วก็ไม่แคร์ว่าจะเปลืองแค่ไหน รถที่เขาใช้คือ Mercedes-Benz รหัสตัวถัง W-124 (ที่เราเรียกกันว่า รุ่นโลงจำปา) พอมาถึงปั๊ใน้ำมัน ถูกคนขับรถเบิร์ดกะโหลกแล้วพูดเรื่องการใช้น้ำมันอย่างรู้คุณค่า แถมยังเจอเด็กปั๊มสมทบอีกตัดมาฉากสุดท้าย เขาก็เปลี่ยนมาใช้รถ Austin Mini (ผมหมายถึง Mini รุ่นเก่านะครับ ไม่ใช่ Mini สมัยใหม่แบบที่เราเห็นกัน) แล้วอาเสี่ยนั่นก็พูดว่า ใช้รถเล็กๆก็ได้แค่นี้

ก็อีกนั่นแหล่ะครับ การใช้น้ำมันฟุ่มเฟือย คือสิ่งที่ไม่ควรกระทำ ที่การตบหัวคนนี่ เป้นพฤติกรรมของสุภาพชนหรือเปล่าครับแล้วขอพูดถึงเรื่องรถยนต์ทั้ง 2 คันที่ถูกยกมากล่าวในนี้ด้วย แล้วบอกว่า ใช้รถเล็กแบบนั้นประหยัดกว่า ถ้ารถเล็กที่นำมาเข้าฉากนั้น เป็นรถญี่ปุ่นสมัยใหม่ (หรือสมัยเดียวกับ Benz โลงจำปาคันนั้น) ก็จะไม่น่าตะขิดตะขวงใจหรอกครับ แต่มีอะไรที่อยากบอกสักหน่อยนะครับ ตามประสาคนที่รู้เรื่องรถนต์มาพอควร (แม้จะไม่เคยขับเจ้ารถ 2 คันนั้นก็ตาม และก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆกับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์Mercedes-Benz รายใดด้วย)ยอมรับครับว่า Austin Mini คือรถยนต์ที่ถุกสร้างมาเพื่อการประหยัดน้ำมันในช่วงยุค 60 และมันก็ทำได้จริงตามคำโฆษณาและเป้นรถดีในยุคนั้น แต่ นั่นมันสมัยนั้นครับ

สมัยนี้ ใครที่จะเล่น Austin Mini นอกจากจะต้องมีเงินค่าซื้อรถแล้ว ยังต้องใจรักจริงๆ รู้เรื่องเครื่องยนต์กลไกการซ่อมรถยนต์บ้างสักเล็กน้อย (ไม่ใช่แบบที่ทำเป็นอย่างเดียวคือ ขับกับเติมน้ำมัน) และรถคันนี้ก็เหมือนกับ Volkswagen Beetle รุ่นแรก ถ้าจะซื้อควรซื้อในสภาพที่ผ่านการบูรณะมาแล้ว ถ้าซื้อแบบโทรมๆมาบูรณะเอง งบประมารบานปลายแน่ครับและเจ้ารถคันนี้

อะไหล่บางชิ้นนั้น ไม่ว่าจะเครื่องยนตืหรือตัวถัง ค่อนข้างหายากครับ เผลอๆแพงด้วย จะซ่อมบำรุงทีก้ต้องหาอู่สถานเดียว (ไม่ได้มีศูนย์แบบรถใหม่ แหงหล่ะมันเป้นรถเก่าตั้ง 40 ปีแล้วนี่) อู่นี่ก้ต้องดูดีๆอีกว่ามันจะไม่โขกค่าซ่อมเรา (โดยเอาข้ออ้างว่า นี่รถเก่าคลาสสิคนะ อะไหล่บางชิ้นมันหายาก) ในขณะที่เจ้า Mercedes-Benz W-124 นั้น ที่แม้จะเก่า แต่ซ่อมได้ทั้งในศูนย์บริการของmercedes-Benz อะไหล่ในเซียงกงก็มีเยอะมาก (จนเอามาประกอบได้อีกหลายคัน)

แม้เจ้า W-124 คันนี้ ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็น economy car หรือเป็นเจ้าหนูประหยัดน้ำมัน แต่มันก็ผลิตโดยใช้วัสดุที่สามารถนำไป recycle เพื่อผลิตเป็นอย่างอื่นใหม่ได้อีกแทบจะทั้งตัวรถทั้งภายนอกภายใน ถ้ารถ Benz คันนี้หมดสภาพความเป็นรถไปแล้ว (ไม่ว่าจะจากอายุการใช้งานหรืออุบัติเหตุ) และมันยังมี คาตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ ไว้กรองไอเสียอีกด้วย ซึ่งปล่อยมลพิษออกมาคงน้อยกว่าเจ้าหนู Autin Mini ที่ไม่มีอุปกรณ์ชิ้นนี้ (เพราะเกิดในคนละยุคสมัย)
และเหลือเชื่อครับ mercedes-Benz W-124 ที่ใหญ่เทอะทะ แต่ค่าพลศาสตร์อากาศ หรือ ค่า Cd แค่ 0.31 เท่านั้น ในขณะที่ Austin ๋Metro รถเล็กที่ผลิตในยุคเดียวกับเจ้า W-124 มีค่า Cd สูงถึง 0.41 ดูเหมือนการมีขนาดใหญ่กว่า ไม่ได้แปลว่าลู่ลมน้อยกว่า mercedes-Benz นี่เขาเก่งดีนะ (หลักฐาน อยุ่ในลิงค์ข้างล่างนี่ครับ)

http://www.bentleypublishers.com/isbn/9780837602301/9780837602301/gallery-618-9.htmlhttp://74.125.153.132/search?ที่สำคัญสำหรับสภาวะเมืองไทยในตอนนี้http://74.125.153.132/search?ที่สำคัญสำหรับสภาวะเมืองไทยในตอนนี้

http://74.125.153.132/search?q=cache:WkUejWpTBRYJ:www.uniquecarsandparts.com.au/car_info_austin_mini_metro.htm+austin+mini+aerodynamic&

Mercedes-Bezn W-124 เติม น้ำมันแกสโซฮอล์ล95 ได้สบาย ในขณะที่ Austin Mini นั้น อย่างน้อยๆต้อง เบนซิน91ซึ่งราคาสูงกว่า และปั๊มShell เริ่มจะไม่เอามาขายแล้ว (Shell แถวโคราชมีแต่แกสโซฮอล์ลกับดีเซลเท่านั้นครับ ไม่มีเบนซิน91อีกแล้ว)ยิ่ง W-124 รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลนั้น ใช้น้ำมันดีเซลประเภท biodiesel ได้สบายมาก (แม้จะเป็นแบบที่ความเข้มข้นมากกว่า B-5 ก็ตาม)ดัดแปลงเอามา ติดแก๊ส ก็ง่ายด้วยนะครับ

--------------------------------------------------------------------------
พักจากเรื่องประหยัดน้ำมันไปแล้ว คราวนี้ก้มี โฆษณารณรงค์ที่ทำออกมาแบบไม่เข้าท่าอีกชุด ที่แม้แต่นิตยสารเกี่ยวกับภาพยนตร์ (เป้นนิจยสารของไทย) เล่มหนึ่ง ยังวิจารณืว่าไม่เข้าท่าเลยครับ

เป็นโฆษณารณรงค์ให้คนรักการอ่าน โดยมี2ชุด ชุดแรก มีสถานที่เป้นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยู่ๆก็มาอ่าน วิธีการใช้โทรศัพท์สาธารณะด้วยเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง แล้วยังอ่านประกาสรับสมัครงานที่แปะอยู่บนเสาใกล้ๆกันด้วยเสียงดัง ทามกลางสายตาผุ้คนที่หันมามองอย่างไม่ขาดสาย

ชุดที่ 2 สถานที่เดิม แต่เปลี่ยนมาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เอาหนังสือพิมพ์มานอนอ่านด้วยเสียงดังแบบเดียวกัน ผู้คนก็หันมามองเช่นเดิมทั้งสองชุด

มีคำพุดจากเสียงบรรยายมาว่า เห็นมั๊ยครับ ว่าการอ่านทำให้คุณเป็นคน่าสนใจแค่ไหน

จำนิตยสารที่ผมกล่าวในตอนแรกได้มั๊ยครับ คนเขียนพูดออกมาโดยจับใจความคร่าวๆได้ว่า "ไม่รู้คนคิดโฆษณานี้ ถุก ผี..่าซาตาน ตนใดมันสิงสู่ ถ้าให้ทำแบบนี้ แทนที่จะทำให้เราเป้นคนน่าสนใจมากขึ้นจากการอ่าน กลับทำให้เราเป็นตัวประลาดมากกว่าน่าสนใจ พาลทำให้ พวกรักการอ่านดูกลายเป้นตัวประหลาดไป"

ผมเองก็เห้นด้วยกับความคิดของคนเขียนบทวิจารณ์นี้ครับ ว่าเรื่องดีๆที่ควรจะรณรงค์ พอมาถ่ายทอดแบบผิดวิธีก็กลายเป้นดูไม่ดี ราวกับคนทำโฆษณาคิดแค่เอาให้คนจำง่ายอย่างเดียว โดยไม่คิดถึงแง่มุมอื่นบ้าง

นักทำโฆษณาเมืองไทยเรื่องที่เกี่ยวกับการรณรงค์นั้น คงต้องทำการบ้านและมีการยกเครื่องทางความคิดกันสักหน่อยแล้วหล่ะครับ ไม่ใช่ทำแค่ว่า ให้มันสะใจกับให้มันติดตาคน เท่านั้น บางอย่างมันควรทำโดยคิดถึงกาละเทศะและอีกด้านของโฆษณาที่คิดจะทำสักหน่อย

ผมไม่ได้เรียนด้านนี้มา แต่ก็พอรู้บ้างตอนเรียนวิชาการตลาดตอนปี3 แต่อย่างที่ว่า มีเส้นกั้นบางๆที่ค่อนข้างะลเอียดอ่อน ในการทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะโฆษณา ละคร ภาพยนตร์ เพลง แม้แต่การนำเสนอข่าว และผมรู้ว่า ไม่มีนักสรรสร้างผลงานคนไหน จะทำให้ทุกคนชอบผลงานของตนได้ทุกคน

เหรียญมีสองด้าน แต่ละคนมีต่างมุมมอง และนี่คือ ด้านที่ผมพึงพอใจที่จะมองและนำเสนอ และมุมมองของผมที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยน (เช่นเดียวกับที่ผมรักเดียวใจเดียวกับ Lego City โดยไม่คิดที่จะแตกไลน์)

กลับมาพูดถึงโฆษณาประเภทรณรงค์ของต่างประเทศต่อ มีอีกชุดหนึ่งที่ดูดี เป็นโฆษณารณรงค์ให้ผู้ใช้รถยนต์คาดเข็มขัดนิรภัย ดดยตัวโฆษณา ให้เห็นภาพของรถยนต์คันหนึ่งประสบอุบัติเหตุชนค่อนข้างหนัก วิญญาณของคนในรถค่อยๆหลุดจากร่าง แต่มีอยู่ร่างหนึ่งที่วิญญาณไม่ยอมหลุด เพราะคนที่เป็นเจ้าของร่างนั้น ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ แล้วเขาก็ฟื้นอีกครั้ง และเป็นคนเดียในรถคันนั้นที่รอดตาย ลิงค์ข้างล่างนี่เลยครับ

http://www.youtube.com/watch?v=nI9_BTm41MI

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ข้อดีของการเป็นโสด

-ไม่ต้องถ่อสังขารไปเยี่ยมพ่อตาแม่ยาย และญาติๆฝั่งเมีย เอาเวาลนี้ไปนอนเล่นอยุ่บ้าน ทำกิจกรรมที่ชอบ หรือเยี่ยมเยียนพ่อแม่

- อยากไปเที่ยวไหน กลับบ้านกี่โมงกี่ยาม ก้ทำได้ตามอำเภอใจ- บ้านทั้งหลังที่เราอยู่เป็นของเราเพียงผู้เดียว จะถอดกางเกงพาดทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่น ดองจานชามใช้แล้วไว้ที่อ่างล้างจานในครัวแบบข้ามวัน โดยไม่มีใครว่า เหลือที่ว่างในบ้านเยอะแยะให้ตั้งโต๊ะโชว์ LEGO ที่สะสมมานาน รวมถึงที่เก็บกล่อง LEGO และ instruction อีกบาน

- งานบ้านที่ทำ ก็มีแค่เฉพาะส่วนของเราเท่านั้น ประหยัดแรงได้มาก

- จะเอาเงินเดือน ไปซื้อ LEGO เข้าบ้านมากเท่าไหร่ก็ได้ โดยไม่ต้องกลัว คุณแม่บ้าน ขู่ว่า "ถ้าเดือนนี้ยังเอามาเยอะกว่านี้อีก จะเอาไปขายทิ้ง"

- ไม่ต้องแคร์เรื่องรูปร่างหน้าตาตัวเอง ว่าจะอ้วนเพละหรือหนวดเครารกรุงรังแค่ไหน

- ไม่ต้องสงวนกิริยาท่าทางเมื่ออยู่บ้าน จะตด เรอ นุ่งกางเกงในตัวเดียวอยุ่บ้านช่วงวันหยุด คุยโทรศัพท์เสียงดัง ทำได้ตามสบาย

- มีเงินเหลืออีกเยอะที่เอาไปใช้ทำกิจกรรมที่ตอบสนองความสุขแก่ตัวเองในสิ่งที่ตัวเองชอบ รวมถึงซื้อ LEGO

- ไม่ต้องทะเลาะกันเรื่อง แย่งช่องทีวีเพื่อดูรายการโปรด (อยากดูรายการอะไรดูได้ตามสบายโดยไม่ต้องรุ้สึกผิดว่า งกทีวีไว้ดูคนเดียวไม่แบ่งใคร)

คิดไม่ออกแล้วครับ แต่มีคู่เหมือนกับมีรถยนต์นั่นแหล่ะครับ มีค่าใช้จ่ายตามมาอีกบานไปจนวันตาย ต่างแค่รถยนต์ไม่ถูกใจเราสามารถขายทิ้งได้ เอาไป modify ได้ ที่สำคัญ ไม่เหี่ยวย่นเหนียงยาน และไม่บ่นอะไรใส่เราด้วย
----------------------------------------------------------------
ถ้าคุณมีลูกด้วยแล้วหล่ะก็ แม้ผมจะไม่เคยผ่านชีวิตคู่ แต่สมัยนี้มันไม่เหมือนสมัยก่อนนะครับ

ตอนผมอยู่ ป.6 ผมออกจากบ้านโดยพกเงินแค่ 30 บาท เต็มที่ก็ 50 บาท กับบัตรโทรศัพท์1ใบ ยานพาหนะที่ใช้คือ รถจักรยาน และก็เป็นแค่จักรยานธรรมดาๆ ไม่ใช่จักรยานเสือภูเขาสุดเท่ห์ หรือจักรยานมีเกียร์หน้าตาทันสมัยอะไรเลย ตอนนนั้นโรงเรียนประถมที่ผมเรียนเป้นโรงเรียนเอกชนครับ ค่าเทอมแน่นอนว่าสูงกว่าดรงเรียนรัฐบาลทั่วไป แต่ไม่ได้แพงหูฉี่แบบพวกในกรุงเทพฯหรือโรงเรียนนานาชาติ แล้วโรงเรียนเอกชนที่ผมเรียนส่วนใหญ่พวกที่มาเรียนก็มีฐานะระดับธรรมดาๆนี่แหล่ะครับ รถยนต์ที่พวกผู้ปกครองขับมาส่งลุกๆที่โรงเรียนส่วนใหญ่ก็เป็นรถญี่ปุ่นทั่วๆไปที่เราคุ้นตากัน (ทั้งในยุคนั้นและยุคนี้) เลยไม่ค่อยมีเด้กพกของแพงมาอวดร่ำอวดรวยอะไรนัก

ผมเพิ่งได้มาขี่มอเตอร์ไซต์ กับมีโทรศัพท์มือถือใช้เป็นของตัวเอง ก็ตอนอยุ่ ม.4 ซึ่งมอเตอร์ไซต์ที่ขี่ ก็เป็นของแม่ ที่ใช้มาตั้งแต่ผมอายุไม่กี่ขวบ และโทรศัพท์มือถือที่ใช้ ก็เป็นแค่ Nokia 282 ที่ได้รับต่อมาจากพ่อ ไม่ใช่ของทันสมันใหม่ล่าสุดใดๆเลย และผมก็ไม่เคยร้องขออยากได้มอเตอร์ไซต์ใหม่หรือมือถือใหม่เลยแม้แต่น้อย (แม้ใจจริงก็อยากได้มือถือใหม่อยุ่หรอกครับ)

ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ก็ยังขี่มอเตอร์ไซต์คันเก่าคันเดิมจนเรียนจบ ไม่ได้มีรถยนต์ส่วนตัวขับไปเรียนแต่อย่างใด ปีหนึ่งผมอยู่หอพักในมหาวิทยาลัย ปีสองค่อยไปหาหอพักอยู่ข้างนอก ซึ่งก็เป็นแค่ห้องแบบธรรมดาๆเดือนละ 1,600 บาท ที่มีแค่ห้องน้ำในตัวกับเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็น(ที่ไม่ได้ดูดีอะไรนัก) ไม่ใช่หอพักแบบหรูหราที่มีลิฟต์ เปิดประตูด้วยคีย์การ์ด หรือมีแอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น พร้อมประจำห้องแต่อย่างใด

แต่เด็กประถมสมัยนี้ คงยากมากๆที่จะใช้ชีวิตแค่เท่าที่ผมมีแบบตอนยุคสมัยของผมได้ อันมีผลมาจากการเวลาที่เปลี่ยนไป สมัยนี้ใครที่คิดจะมีลูก นอกจากค่าเล่าเรียน ที่แน่นอนว่าแพงกว่าสมัยที่ผมเรียนแน่ๆแล้ว

อย่าลืมเผื่อเงินไว้สำหรับ โทรศัพท์มือถือ (แน่อนต้องเป็นแบบจอสีกับมีกล้องแบบความละเอียดสูงด้วยนะ) คอมพิวเตอร์อีกเครื่อง (ยิ่งเรียนระดับมหาวิทยาลัยนี่ จำเป็นเลยหล่ะ) อาจจะต้องแถมมอเตอร์ไซต์สักคัน ค่าขนมต่อวันสำหรับเด็กทุกวันนี้อย่างน้อยๆก็คง 100 บาทต่อวันแล้วหล่ะมั๊ง

และอย่าลืม วันดีคืนดีลูกคุณเกิดอยากได้ PS3, XBOX 360, Wii, NDS, PSP ขึ้นมาเมื่อไหร่ ฮึ ฮึ (ในกรณีมีเงินเหลือเฟือก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่สวนใหญ่ ความอยากได้ของลุกๆ มันชอบจะสวนทางกับรายได้ของครอบครัวเสมอเลย)

แล้วเดี๋ยวนี้ สิ่งล่อต่าล่อใจลูกๆของเรา ให้เสียเงินเสียทอง มีเพียบกว่าสมัยที่ผมยังอยู่ชั้นประถมเยอะมากครับ ค่าใช้จ่ายแค่ที่จำเป้นี่ก็แพงมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ตอนที่ผมเรียนมหาวิทยาลับ ขนาดว่าที่ที่ผมเรียนเป็นแค่มหาวิทยาลัยของรับธรรมดาๆ (ไม่ใช่เรียนแพงอย่าง เอแบ็ค แล้วผมเรียน ภาคปกติ ไม่ใช่ ภาคพิเศษ ที่เสียเงินแพงกว่า) อยู่หอพักธรรมดาๆ และไม่ได้ใช้ของแพง (จะค้นงาน พิมพ์งาน ก็ใช้บริการจากร้านอินเตอร์เน็ตล้วนๆครับ เพิ่งมามีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ตเป็นของตัวเองเมื่อตอนปี4 แล้วก้ต้องผ่อนเองบางส่วนด้วย) ไม่ได้ใช้ชีวิตสัมมะเลเทเมาๆใดๆ (เพราะไม่ได้เป็นมนุษย์ประเภท party animal หรือ nightlife man อยู่แล้ว) ยังหมดเงินค่ากินอยุ่ เล่าเรียน ตลอด 4 ปี เป็นเงินคร่าวๆเกือบเท่าราคารถ Toyota Soluna Vios รุ่นเกียร์อัตโนมัติ ตัวถูกสุด (แถมเหลือเงินเติมน้ำมันอีก)

จำได้เคยมียุคหนึ่ง เคยมีคำขวัญว่า " มีลูกสอง เป็นโซ่ทองคล้องใจ"
พอต่อมา ก็เปลี่ยนมาสู่ยุค "มีลูกคนเดียว สบายใจกว่า"
สงสัยต่อไป ตอนผมอายุเท่าคุณ bricker (webmaster ของ thaibrickclub) คำขวัญคงกลายเป็น "ไม่เป็นเศรษฐี อย่าคิดมีลูกเด็ดขาด"

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Me, Myself, and LEGO

-อายุปัจจุบันตอนนี้ของผมคือ 23 ปี และรู้จัก LEGO มาตั้งแต่สมัยที่ยังใช้ชื่อรุ่นว่า System แต่เพิ่งมาเล่นและสะสมจริงจังก็ในรอบ 5 เดือนนี้เอง
- theme ที่ผมเล่นคือ LEGO City ไม่มีการ แตกไลน์ ไปซื้อ them อื่น รักเดียใจเดียว และมั่นคงต่อ City เท่านั้น
- แม้ราคาขายในไทยจะแพง (มาก) แต่ก็ขอบคุณที่ยังมี มหกรรมลด15%ที่จะจัดทุกสิ้นเดือน, ห้างสรรพสินค้า ตั้ง ฮั่ว เส็ง สาขาธนบุรี ที่มี LEGO City ลด 30% กันบ่อยมาก, และเว็บไซต์ e-commerce อย่าง aventthai และ mom2kids ที่ทำให้ผมได้ครอบครอง LEGO City ในราคาที่ถูกกว่าราคาปกติในห้างฯอย่างมาก แถมส่งตรงถึงบ้านด้วย
-และขอบคุณตัวแทนจำหน่ายในไทย ที่ยังอุตส่าช่วยลดราคา LEGO City ที่เพิ่งออกมาใหม่ จนมีราคาแพงกว่าที่ขายในสิงค์โปร์ไม่เท่าไหร่ (แต่ theme อื่น แพง lost microprocessor เช่นเดิม)

-แม้ว่าทางเลือกที่ผมใช้ในการซื้อหา LEGO จะราคาแพงกว่าที่ซื้อหาใน ebay หรือการไปซื้อยังประเทศที่ขาย LEGO ถูกกว่าไทย แต่อย่างน้อย มนก็ยังเป็น LEGO ที่สร้างความสุขทางใจแก่ผม ของเล่นที่ทำให้ผมลืมเรื่องบ้าบอคอแตกสารพัดเรื่องที่เข้ามาในชีวิตผมตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เรื่องที่ทำให้การตั้งราคา LEGO อันแสนแพงของตัวแทนจำหน่ายในไทย กลายเป็นเรื่องน่าโมโหอันดับรองๆของชีวิตผมไปเลย อย่างเช่นพวกคนกลุ่มเหล่านี้ ที่สร้างความหงุดหงิดแก่ชีวิตผมไม่น้อย

-ตอนเรียนมัธยมทั้งต้นและปลาย ก็เจอแต่วัยรุ่นนิสัยเสียปากไม่มีหูรูด ที่มากับคำพูดแดกดัน เสียดสีนั่นนี่เกี่ยวกับผมตลอด (แต่พวกนั้นก็กล้าได้แค่พูดเท่านั้น)
-พวกผู้ใหญ่หัวโบราณที่พูดจาไม่สร้างสรรค์
-จะเล่นอินเตอร์เน็ต ก็เ แต่พวกวัยรุ่นเกรียนๆ กับพวกผู้ใหญ่ที่พูดจาดูไม่น่านับถือ คนพวกนี้ชอบบ่นอย่างไร้วิจารณญาณในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่สามารถแก้ไขได้ และชอบด่าว่าเสียดสีคนที่เจาแสดงความคิดเห็นไม่เหมือนตน ทั้งที่ก็ไม่ได้ผิดกฎใดๆและเป็นสิทธิของเขา และบางทีความคิดเห็นนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ถูกก็ได้ (แต่อย่างว่าในโลกอินเตอร์เน็ต พกวมากมักอยุ่รอดเสมอ)
-จะดุโทรทัศน์ ก็มีแต่ละครน้ำเน่า รายการจับกลุ่มเล่าข่าวที่ผู้นำเสนอข่าวไม่ค่อยมีความเป็นกลางและชอบนำเสนอแต่ด้านเดียว (ซึ่งม พร้อมกับ SMS ร้สาระ ที่ใชถ้อยคำที่ไม่รู้ว่าถูกนำมาออกอากาศได้อย่างไร) บางทีคนนำเสนอก็ไม่รู้เรื่องข่าวที่อ่านอย่าแท้จริง (เคยเห็นมากับตา ได้ยินกับหู จากรายการที่เอาผู้หญิงสี่คนมานั่งบ่นช่วงเช้าวันจันทร์ถึงศุกร์ ในช่องโทรทัศน์ยอดนิยมช่องหนึ่ง) ไหนจะรายการโฆษราเครื่องออกกำลังกายโกหกจอมปลอม กับพวกเรียลิตี้ลดความอ้วน ที่เอาคนอ้วนมาทำให้ดูน่าสมเพชอีก (ตอนนีเลิกดู free tv แล้ว ดูแต่พวกรายการบันเทิงทาง TrueVisions อย่างเดียว)
-จะดูหนัง ก็มีแต่หนังเสียดสีสังคม เนื้อหาซีเรียส กับเอาคนอ้วนมาทำให้ดูน่าสมเพช (ไม่ได้ดูหนังโรงมา 3 ปีแล้ว)
-เพลงเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยมีคุณภาพแบบแต่ก่อน เหมือนกับแบบเน้นแต่แค่ทำยอดขาย
-ไหนจะเรื่องชวนหงุดหงิดยามต้องขับขี่รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ เรื่องน่ารำคาญบางประการในที่สาธารณะ ที่หลายๆคนก็คงเคยเจอ

-ผมคงเป็น นักเล่น LEGO ชาวไทย ที่ลำบากที่สุดหล่ะมั๊งในเรื่องหาเลโก้ราคาถูก รายจ่ายที่บ้านก็เพียบครับ ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนสิ่งของบางรายการ ค่างวดบัตรเครดิตขั้นต่ำ (แต่ไม่เคยเบี้ยว จ่ายตรงเวลาตลอด) จึงทำให้โอกาสในการไปสิงค์โปค์(ซึ่งแม่ผมก็อยากไป) ก็เลยเป็นหมันไปเรียบร้อย
-นักเล่น LEGO ที่ยังเป็นเด็กคนอื่นๆก็ยังมีพ่อแม่เป็นคนออกเงินค่าซื้อเลโก้ให้ โดยอาจจะมีข้อแลกเปลี่ยนเรื่องการสอบได้คะแนนดีๆมาเป็นข้อตกลง ส่วนผมก็ต้องเก็บเงินซื้อเองแทบทุกบาท ล่าสุดที่ไปคว้าชุด City Corner มาได้ก็ต้องเก็บเงินเกือบเดือน และถ้าไม่มีเรื่องสอบ กพ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงหัวหมาก ก็ไม่ได้มีข้ออ้างเข้ากรุงเทพฯไปซื้อ LEGO หรอกครับ แถมพอแม่ผมรู้ราคา ก็พูดเลยครับว่า แพงจัง เลยมีรายการประปากกันเล็กน้อยก่อนแยกย้ายกัน (แต่ไม่ถึงกับทะเลาะกันขั้นรุนแรง นี่ขนาดว่าแม่ผมไม่ใช่ผู้ใหญหัวโบราณและให้ผมซื้อนู่นนี่เล่นนนั่นนี่ได้ ตราบเท่าที่มีเงิน และเงินนั้นไม่ต้องกู้ยืมใครจนเป็นหนี้ และไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎหมาย)
- ส่วนการซื้อใน ebay นั้น อยากครับ อยากมากๆๆๆๆๆ จะได้ซื้อชุด Hospital ที่ตอนนี้ไม่มีในไทยแล้ว แต่ผมไม่มีบัตรเครดิต และพ่อผมคงไม่ให้ผมเอาบัตรเครดิต CITIBANK ของพ่อผมเองมารูดซื้อเลโก้แน่ๆ (ล่าสุดก็เพิ่งไปชำระหนี้ 12,000 บาทมาหยกๆ) แล้วผมก็ไม่ชอการที่ต้องมาลำบากเจรจาต้าอ้วยกับคนขายในแบบภาษาอังกฤษ อะไรที่มันต้องยุ่งยากในการเจรจานั้น ผมไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ รวมถึงการต้องมารอการส่งนานเกือบเดือนเป้นอย่างน้อยอีก (หรือขึ้นอยู่กับ location ของผู้ขาย) ผมชอบอะไรที่มันแบบ ถ้าเป้นราคาถูกก็ควรจะเป็นราคาถูกที่กำหนดไว้ตายตัวแล้ว ไม่มีเงื่อนไขที่ดูหมกเม็ดที่สามารถปั่นราคาให้สูงขึ้นได้ และถ้าเป็นแบบจ่ายเงินปุ๊บได้ของปั๊บยิ่งดีใหญ่ คงมีแต่ รถยนต์มือสอง เท่านั้นมั๊งครับ ที่คุ้มแก่การเสียเวลาเจรจาต้าอ้วยกับคนขาย (และหลังจากดูรถเสร็จ เจรจาเสร็จ เซ็นต์เอกสารครบถ้วน จ่ายเงินปุ๊บ ขับรถกลับบ้านได้ทันที)
-ก็อย่างว่าครับ งานก็ไม่มี บัตรเครดิตจะมีได้ยังไง ตอนนี้ก็นอนว่างๆ รอบวชช่วงเดือนตุลาคม ก็อยู่บ้าน ดูทีวี เล่นอินเตอร์เน็ต เล่นเกมคอมพิวเตอร์(ซึ่งก็เกมเดิมๆที่เอามาเวียนใหม่) ดื่มกาแฟเย็นแทบจะแทนน้ำเปล่า กับทำงานบ้านอย่างซักผ้า ตากผ้า ล้างจาน ทิ้งถุงขยะที่เต็ม ยืมรถยนต์พ่อขับ โทรศัพท์หาเพื่อน(ที่มักจะมีแต่คนอยุ่ไกลที่รุ้จักทางอินเตอร์เน็ต หรือไม่ก็อายุคนละรุ่นกับผม อย่างมีอยุ่สองคน คนหนึ่งอายุน้อยกว่าผมตั้ง5ปี ส่วนอีกคนก็เป็นผู้ใหญ่อายุจะ40ปีแล้ว) กับรอโอกาสที่จะได้ไปในที่ที่ขายเลโก้โดยที่ไม่ต้องออกค่าเดินทางแม้แต่บาทเดียว

-ตอนนี้นอกจาก LEGO แล้วก็มี มิวสิควีดีโอใน Youtube, รถยนต์, รายการสารคดี การ์ตูน และวาไรตี้โชว์ จาก TrueVisions, วีดีโอเกมส์ในคอมพิวเตอร์, เว็บไซต์สำหรับคนที่อายุเกิน18ปีขึ้นไป, เครื่องใช้ไฟฟ้าที่อำนวยความสะดวกแก่ผมในชีวิตประจำวัน(อย่างตู้เย็น เตาอบไมโครเวฟ เครื่องซักผ้า คอมพิวเตอร์ ฯลฯ) อาหารฟาสฟู๊ดและพิซซ่า(ไม่ว่าจากแบรนด์ใดก็ตาม) รวมถึงครอบครัวของผมและเพื่อนๆที่ยังพบปะพูดคุยติดต่อกันอยู่ คือสิ่งที่ทำให้ชีวตผมสะดวกสบาย ลืมเรื่องทุกข์ร้อนเรื่องบ้าบอคอแตกและเรื่องร้ายๆต่างๆที่เคยเข้ามาในชีวิตผมได้
-รวมถึง John Goodman และ น้าเน็ก ด้วย เห้นหน้าเขาและดูการแสดงเขาทีไร ชวนอมยิ้มทุกทีสิน่า
-ผมรู้ครับว่า มีอีกหลายคนที่ลำบากกว่าผมเยอะ และผมก็กระแนะกระแหน๋คนอื่นไว้มาก แต่ผมไม่เคยยกตัวเองว่าผมดีกว่าคนเหล่านั้น ไม่เคยพูดอะไรในลักษณะที่ว่า "เฮ้ ต้องเชื่อที่ฉันพูดนะ" หรือ "เฮ้ ฉันพูดถูก คุณสิผิด"ก็แค่อยากแสดงความแตกต่างในอีกด้านให้เห็นเท่านั้น ภาษที่ผมพูดหรือนำเสนอออะไร ผมยอมรับครับว่ามันไม่ใช่ ภาษาดอกไม้ แต่ถ้ามีใครจะแย้งอะไรหรือนำเสนออะไร ผมก็รับฟังเสมอ (แต่ต้องเป้นการแย้งอย่างมีเหตุผลและมีวิจาณญาณ ไม่ใช่แย้งแบบอารมณ์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง แบบที่ผมเคยเจอมาแล้วในที่อื่น)

- แต่อย่างน้อยผมก็ยังเอจเรื่องดีๆในชีวตเป้นสัดส่วนที่ค่อนข้างมากกว่าเรื่องไม่ดี แม้จะไม่ใช่เรื่องประเภทได้โชคประเภทเงินทองของมีค่า (ที่เอาไปซื้อ LEGO ได้) แต่ก็เป็นเรื่องดีๆที่อาจจะมีค่ามากกว่าสิ่งเหล่านั้นหลายเท่า และผมเจอคนดีๆเข้ามาในชีวิตไม่น้อยเหมือนกันครับ และเป้นคนดีประเภท ดีโดยเนื้อแท้ภายในจิตใจ ซะด้วยครับ

(และแล้วก็ตัดบทเข้ามาเรื่อง LEGO อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยซะงั้น) ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหน เจอเรื่องบ้าบอคอแตกและเรื่องชวนหงุดหงิดมาสักเพียงใด รวมถึงจะเจอคำพูดชวนอารมณ์บ่จอย (ศัพท์โบราณมาก) สักเพียงใด "LEGO ขของเล่นที่ให้ความสุขแก่ผม และช่วยให้ลืมเรื่องไม่ดีต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิจได้ ท่ามกลางสังคมที่สับสนวุ่นวายและเต็มไปด้วยผู้คนที่เอาแน่นเอานอนทางความคิดไม่ได้" (เวอร์ไปมั๊ยเนี่ย)

" LEGO ความสุขที่คุณต่อได้ " (ฟังแล้วเหมือนเบียร์ Closter เลยวุ้ย)