วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ข้อดีของการเป็นโสด

-ไม่ต้องถ่อสังขารไปเยี่ยมพ่อตาแม่ยาย และญาติๆฝั่งเมีย เอาเวาลนี้ไปนอนเล่นอยุ่บ้าน ทำกิจกรรมที่ชอบ หรือเยี่ยมเยียนพ่อแม่

- อยากไปเที่ยวไหน กลับบ้านกี่โมงกี่ยาม ก้ทำได้ตามอำเภอใจ- บ้านทั้งหลังที่เราอยู่เป็นของเราเพียงผู้เดียว จะถอดกางเกงพาดทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่น ดองจานชามใช้แล้วไว้ที่อ่างล้างจานในครัวแบบข้ามวัน โดยไม่มีใครว่า เหลือที่ว่างในบ้านเยอะแยะให้ตั้งโต๊ะโชว์ LEGO ที่สะสมมานาน รวมถึงที่เก็บกล่อง LEGO และ instruction อีกบาน

- งานบ้านที่ทำ ก็มีแค่เฉพาะส่วนของเราเท่านั้น ประหยัดแรงได้มาก

- จะเอาเงินเดือน ไปซื้อ LEGO เข้าบ้านมากเท่าไหร่ก็ได้ โดยไม่ต้องกลัว คุณแม่บ้าน ขู่ว่า "ถ้าเดือนนี้ยังเอามาเยอะกว่านี้อีก จะเอาไปขายทิ้ง"

- ไม่ต้องแคร์เรื่องรูปร่างหน้าตาตัวเอง ว่าจะอ้วนเพละหรือหนวดเครารกรุงรังแค่ไหน

- ไม่ต้องสงวนกิริยาท่าทางเมื่ออยู่บ้าน จะตด เรอ นุ่งกางเกงในตัวเดียวอยุ่บ้านช่วงวันหยุด คุยโทรศัพท์เสียงดัง ทำได้ตามสบาย

- มีเงินเหลืออีกเยอะที่เอาไปใช้ทำกิจกรรมที่ตอบสนองความสุขแก่ตัวเองในสิ่งที่ตัวเองชอบ รวมถึงซื้อ LEGO

- ไม่ต้องทะเลาะกันเรื่อง แย่งช่องทีวีเพื่อดูรายการโปรด (อยากดูรายการอะไรดูได้ตามสบายโดยไม่ต้องรุ้สึกผิดว่า งกทีวีไว้ดูคนเดียวไม่แบ่งใคร)

คิดไม่ออกแล้วครับ แต่มีคู่เหมือนกับมีรถยนต์นั่นแหล่ะครับ มีค่าใช้จ่ายตามมาอีกบานไปจนวันตาย ต่างแค่รถยนต์ไม่ถูกใจเราสามารถขายทิ้งได้ เอาไป modify ได้ ที่สำคัญ ไม่เหี่ยวย่นเหนียงยาน และไม่บ่นอะไรใส่เราด้วย
----------------------------------------------------------------
ถ้าคุณมีลูกด้วยแล้วหล่ะก็ แม้ผมจะไม่เคยผ่านชีวิตคู่ แต่สมัยนี้มันไม่เหมือนสมัยก่อนนะครับ

ตอนผมอยู่ ป.6 ผมออกจากบ้านโดยพกเงินแค่ 30 บาท เต็มที่ก็ 50 บาท กับบัตรโทรศัพท์1ใบ ยานพาหนะที่ใช้คือ รถจักรยาน และก็เป็นแค่จักรยานธรรมดาๆ ไม่ใช่จักรยานเสือภูเขาสุดเท่ห์ หรือจักรยานมีเกียร์หน้าตาทันสมัยอะไรเลย ตอนนนั้นโรงเรียนประถมที่ผมเรียนเป้นโรงเรียนเอกชนครับ ค่าเทอมแน่นอนว่าสูงกว่าดรงเรียนรัฐบาลทั่วไป แต่ไม่ได้แพงหูฉี่แบบพวกในกรุงเทพฯหรือโรงเรียนนานาชาติ แล้วโรงเรียนเอกชนที่ผมเรียนส่วนใหญ่พวกที่มาเรียนก็มีฐานะระดับธรรมดาๆนี่แหล่ะครับ รถยนต์ที่พวกผู้ปกครองขับมาส่งลุกๆที่โรงเรียนส่วนใหญ่ก็เป็นรถญี่ปุ่นทั่วๆไปที่เราคุ้นตากัน (ทั้งในยุคนั้นและยุคนี้) เลยไม่ค่อยมีเด้กพกของแพงมาอวดร่ำอวดรวยอะไรนัก

ผมเพิ่งได้มาขี่มอเตอร์ไซต์ กับมีโทรศัพท์มือถือใช้เป็นของตัวเอง ก็ตอนอยุ่ ม.4 ซึ่งมอเตอร์ไซต์ที่ขี่ ก็เป็นของแม่ ที่ใช้มาตั้งแต่ผมอายุไม่กี่ขวบ และโทรศัพท์มือถือที่ใช้ ก็เป็นแค่ Nokia 282 ที่ได้รับต่อมาจากพ่อ ไม่ใช่ของทันสมันใหม่ล่าสุดใดๆเลย และผมก็ไม่เคยร้องขออยากได้มอเตอร์ไซต์ใหม่หรือมือถือใหม่เลยแม้แต่น้อย (แม้ใจจริงก็อยากได้มือถือใหม่อยุ่หรอกครับ)

ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ก็ยังขี่มอเตอร์ไซต์คันเก่าคันเดิมจนเรียนจบ ไม่ได้มีรถยนต์ส่วนตัวขับไปเรียนแต่อย่างใด ปีหนึ่งผมอยู่หอพักในมหาวิทยาลัย ปีสองค่อยไปหาหอพักอยู่ข้างนอก ซึ่งก็เป็นแค่ห้องแบบธรรมดาๆเดือนละ 1,600 บาท ที่มีแค่ห้องน้ำในตัวกับเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็น(ที่ไม่ได้ดูดีอะไรนัก) ไม่ใช่หอพักแบบหรูหราที่มีลิฟต์ เปิดประตูด้วยคีย์การ์ด หรือมีแอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น พร้อมประจำห้องแต่อย่างใด

แต่เด็กประถมสมัยนี้ คงยากมากๆที่จะใช้ชีวิตแค่เท่าที่ผมมีแบบตอนยุคสมัยของผมได้ อันมีผลมาจากการเวลาที่เปลี่ยนไป สมัยนี้ใครที่คิดจะมีลูก นอกจากค่าเล่าเรียน ที่แน่นอนว่าแพงกว่าสมัยที่ผมเรียนแน่ๆแล้ว

อย่าลืมเผื่อเงินไว้สำหรับ โทรศัพท์มือถือ (แน่อนต้องเป็นแบบจอสีกับมีกล้องแบบความละเอียดสูงด้วยนะ) คอมพิวเตอร์อีกเครื่อง (ยิ่งเรียนระดับมหาวิทยาลัยนี่ จำเป็นเลยหล่ะ) อาจจะต้องแถมมอเตอร์ไซต์สักคัน ค่าขนมต่อวันสำหรับเด็กทุกวันนี้อย่างน้อยๆก็คง 100 บาทต่อวันแล้วหล่ะมั๊ง

และอย่าลืม วันดีคืนดีลูกคุณเกิดอยากได้ PS3, XBOX 360, Wii, NDS, PSP ขึ้นมาเมื่อไหร่ ฮึ ฮึ (ในกรณีมีเงินเหลือเฟือก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่สวนใหญ่ ความอยากได้ของลุกๆ มันชอบจะสวนทางกับรายได้ของครอบครัวเสมอเลย)

แล้วเดี๋ยวนี้ สิ่งล่อต่าล่อใจลูกๆของเรา ให้เสียเงินเสียทอง มีเพียบกว่าสมัยที่ผมยังอยู่ชั้นประถมเยอะมากครับ ค่าใช้จ่ายแค่ที่จำเป้นี่ก็แพงมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ตอนที่ผมเรียนมหาวิทยาลับ ขนาดว่าที่ที่ผมเรียนเป็นแค่มหาวิทยาลัยของรับธรรมดาๆ (ไม่ใช่เรียนแพงอย่าง เอแบ็ค แล้วผมเรียน ภาคปกติ ไม่ใช่ ภาคพิเศษ ที่เสียเงินแพงกว่า) อยู่หอพักธรรมดาๆ และไม่ได้ใช้ของแพง (จะค้นงาน พิมพ์งาน ก็ใช้บริการจากร้านอินเตอร์เน็ตล้วนๆครับ เพิ่งมามีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ตเป็นของตัวเองเมื่อตอนปี4 แล้วก้ต้องผ่อนเองบางส่วนด้วย) ไม่ได้ใช้ชีวิตสัมมะเลเทเมาๆใดๆ (เพราะไม่ได้เป็นมนุษย์ประเภท party animal หรือ nightlife man อยู่แล้ว) ยังหมดเงินค่ากินอยุ่ เล่าเรียน ตลอด 4 ปี เป็นเงินคร่าวๆเกือบเท่าราคารถ Toyota Soluna Vios รุ่นเกียร์อัตโนมัติ ตัวถูกสุด (แถมเหลือเงินเติมน้ำมันอีก)

จำได้เคยมียุคหนึ่ง เคยมีคำขวัญว่า " มีลูกสอง เป็นโซ่ทองคล้องใจ"
พอต่อมา ก็เปลี่ยนมาสู่ยุค "มีลูกคนเดียว สบายใจกว่า"
สงสัยต่อไป ตอนผมอายุเท่าคุณ bricker (webmaster ของ thaibrickclub) คำขวัญคงกลายเป็น "ไม่เป็นเศรษฐี อย่าคิดมีลูกเด็ดขาด"

ไม่มีความคิดเห็น: